Baby Boomers

ว่าที่เบบี้บูมเมอร์

ต้องยอมรับนะครับว่า การเขียนบทความ รวมแสดงความคิดเห็น หรือแชร์เรื่องต่างๆ ในทุกวันนี้ ควรพิจารณาเป็นอย่างมาก ในหลายๆแง่มุม ของผลการกระทบ ต่อมุมมองของข้างที่เห็นต่าง; สวัสดีครับท่านที่อ่านบทความนี้ ผมเองใคร่ควรเรื่องราว สังคม เศษฐกิจ การเมือง ควรเขียนดีหรือเปล่าหนอ การจะเขียนเรื่องราวที่ลึกซึ้ง เกี่ยวคำสอนของพระศาสดามากๆ เกรงว่าจะได้รับความสนใจน้อย ต่อท่านที่อร่อยกับโลก ก็โลกมันมีแต่สิ่งดึงดูดมาก ตั้งแต่ตื่นนอนมันก็ร้องเตือนสัญญาณให้ต้องรับรู้ ทั้งรูปที่ให้เห็น สวยน่ารัก หูที่ได้ยิน ไพเราะ กลิ่นที่ดมเหย้ายวลด้วยจมูก ลิ้นที่ลิ้มรส ที่อร่อยพอใจ กายสัมผัสธรรมารมณ์ ที่ยากจะลดละจากจิตใจ (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางใจ; กามคุณทั้งห้ามันมากเหลือเกินที่ทำให้เราท่านลุ่มหลงยึดติดอยู่ เหมือนเนื้อติดบ่วงของนายพราน.)
...วันนี้ผมพุ่งเป้าเนื้อหา บทความไปที่เพื่อนๆ พี่ๆ รุ่นๆ ราวเลยครึ่งร้อยของวัยบวก+ ได้ย้อนมองอดีตกันสักหน่อย ด้วยรุ่นราวคราวประมาณอายุนี้ ไกล้จะหยุดบทบาท หน้าที่การงานหลายด้าน ที่สำคัญมาก หรือสำคัญรองๆมา เรามันโตเต็มวัย ก็อย่าไปติเตียนเด็กมันเลย ครั้งเราเป็นประมาณนี้มันก็ยังติดหนังสติ๊กบ้าง จับปลาตามลำคลองบ้าง หรือกุ้งหาหอยทำมาหากินตามแบบสมัยนั้นมันเป็น ดื่มน้ำในหลุมทรายตามชายน้ำ จนทุกวันนี้หลายคนต้องเอาหินออกจาท้อง เป็นนิ่วกันเป็นแถว เหตุมันมี ผลมันก็เกิด ตามเหตุปัจจัย (ต้องเรียนท่าน ที่มีชีวิตที่ดีกว่านี้ ถือว่าท่านสร้างเหตุมาดี ...นี้เป็นชีวิตที่จริงในชนบทสมัยนั้น ผมเคยสัมผัสมาอยู่ สมัยนี้ก็น่าจะยังมีอยู่..แต่น้อย ยุกนั้นน้ำฝนกินได้ประมาณนี้)
เหมือนกันสมัยนั้นเรามันเป็นเด็ก เรียนตามบ้านนอก วิ่งเล่นเหมือนเด็กไร้เดียงสา บ้าใบ้ตามสถาน ไม่มีใครหรอกมองเห็นในอนาคต เพียงแต่รู้ว่า ตื่นเช้ามาเดินไปโรงเรียนใกล้บ้าน นำปิ่นโตห่อข้าวไปกินเป็นมื้อเที่ยง ขั้นปฐมศึกษา โตมาหน่อยก็เรียนต่อโรงเรียนประจำอำเภอ โชคดีบางคนใกล้โรงเรียน บางคนไกลมีจักรยานปั่นไป หากไม่ก็เดินไกลหน่อย เรียนสูงสู่จังหวัดสูงขึ้นไป
ไม่คิดหรอก พอเติบโตเรียนสูง จะเข้ามามีบทบาท ทั้งด้านสังคม เศษฐกิจ การเมือง ( จะระดับหมู่บ้าน; ตำบล; จังหวัด; ประเทศ; หรือระดับระหว่างประเทศ) ผมเองก็คิดว่า ผู้ที่ใหญ่ผู้โต ทางสังคม เศษฐกิจ การเมืองสมัยนั้น จะมีมุมมองที่ดีกับเรา ถึงการพัฒนาของปัญญา และเติบโตทางความคิดของเรา ที่จะมีส่วนสามารถ คอยพัฒนาทางสังคม เศษฐกิจ การเมือง ในมุมมองเขา ขณะนั้น
ช่วงก่อนนั้น เราจะรู้เรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ด้วยเหตุหลายๆปัจจัย ฐานข้อมูลความรู้มันถูกเก็บซ่อน สงวนไว้ให้กับผู้ที่มีวัตถุปัจจัยที่เข้าถึงได้ ส่วนพวกที่ขาด ยากมากที่จะได้เสพมัน เหมือนเราเห็นไอติมอยู่ในถังแช่ มีคนขายคอยเฝ้าอยู่ เราไม่มี ยากนักที่จะเปิดผาถัง หยิบแท่งไอติมมาลิ้มเลียได้ แต่กับบางคนลิ้มมันได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา แต่กะนั้นคนอย่างเราๆ ก็เข้าไปมีบทบาทในสังคม เศษฐกิจ การเมือง ตามภูมิ ความสามารถของแต่ละคน ตราบถึงปัจจุบัน ยุคนี้ข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งถ้าใครจะรู้ไม่ใช่เรื่องยาก อย่างที่ผม อุปมัยมา (ข้อมูล ตั้งอยู่ในระบบ คราวคอมพิวติ้ง ข้อมูลเหล่านี้ได้มีบทบาทใหม่ ที่เราท่านเข้าถึงได้ 24 ชั่วโมง แทบทุกเรื่อง ดังนั้นอนาคต ทางสังคม เศษฐกิจ การเมือง ควรให้ลูกหลานมันใช้ นำพาอนาคต ตามภูมิเขาเกอะ) ย้อนมามองเราท่าน ว่าที่ เบบี้บูมเมอร์ ควรจะปล่อยวางได้แล้ว กับปัญหาเงื่อนปม อย่ายึดติดมันเลย (เด็กพวกนี้ไม่เสียเวลาจำสิ่งที่ไม่ควรจำ เขาจะใช้เซกเตอร์ของปัญญา อย่างมีคุณค่า จะคุณค่าดีหรือเลว มันจะถูกกระทำด้วยข้อผูกมัด ทางสังคมตลอดเวลา; การกระทำที่ผิดพลาด เหมือนการพลิกเหรียญกลับด้าน ผลที่จะได้ชั่วข้ามคืน จะรับผลอย่างตรงไปตรงมา ) และนี่เป็นสิ่งที่บังคับให้ยกระดับจิตใจสูง ให้กว้างขวางตามด้วย พร้อมอภัย และแก้ไขข้อผิด เพราะทุกๆ การกระทำของพวกเขา สังคม เศษฐกิจ การเมืองทุกๆระดับ จะมองเขาอยู่ ดังนั้นทุกการตัดสินใจ พวกเขาจะเห็นล่วงหน้าเสมือนพยากรณ์ได้ หากว่าที่เบบี้บูมเมอร์เคยทำผิดพลาดมา พวกเขาก็พร้อมที่จะใช้ข้อมูลนั้น ที่มีอย่างมากหลายมาวิเคราะ แก้ไข้เหตุที่ผิดพลาดให้ดียิ่งกว่าเดิม หรือให้หมดไป ว่าที่เบบี้บูมเมอร์ ถึงเวลาถอย นั่งมองดูเขาเถิด.. แท้ที่สุดแล้ววัยรวมรูปสังขาร เรามันก็จะโรยล่วงไป เหลือเพียงอาลัยที่เคยทำ เป็นความทรงจำ อันไร้กำลังสานต่อ..ดั่งพระศาสดาตรัสไว้ ของทุกสิ่งอย่างมัน "ไม่เที่ยง.!" อย่ายึดมั่นถื่อมั่น มันนำมาซึ่งความทุกข์.
ขอบคุณจากใจ ที่ท่านอ่านจนจบความ.

อริยสัจจากพระโอษฐ์

คามณิ ! เพราะเหตุว่า ... ถึงแม้เขาจะเข้าใจธรรม ที่เราแสดงสักบทเดียว นั้นก็ยังจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น ตลอดกาล
( บาลี - สฬา. สํ. ๑๘/๓๘๙/๖๐๕ )
กามทั้งหลาย อันบุคคลพึงรู้แจ้ง
ภิกษุทั้งหลาย !
ที่เรากล่าวว่า กาม
นิทานสัมภวะแห่งกาม เวมัตตตาแห่งกาม
วิบากแห่งกาม นิโรธแห่งกาม
ปฏิปทาให้ถึงซึ่งนิโรธแห่งกาม
เป็นสิ่งที่ควรรู้แจ้งนั้น
เรากล่าวหมายถึงกามไหนกันเล่า ?
    ภิกษุทั้งหลาย !
    กามคุณห้าอย่างเหล่านี้ คือ
    รูปทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยจักษุ
    อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่
    น่าพอใจ มีลักษณะอันน่ารัก
    เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งความใคร่
    เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่
เสียงทั้งหลาย อันจะถึงรู้แจ้งได้ด้วยโสตะ
อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ มีลักษณะอันน่ารัก
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่
    กลิ่นทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยฆานะ
    อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่
    น่าพอใจ มีลักษณะอันน่ารัก
    เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งความใคร่
    เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่
รสทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยชิวหา
อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่
น่าพอใจ มีลักษณะอันน่ารัก
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่
    โผฏฐัพพะทั้งหลาย อันจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยกาย
    อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่
    น่าพอใจ มีลักษณะอันน่ารัก
    เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งความใคร่
    เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่
ภิกษุทั้งหลาย !
อารมณ์ห้าอย่างเหล่านี้ หาใช่กามไม่
ห้าอย่างเหล่านี้
เรียกกันในอริยวินัยว่า กามคุณ
ความกำหนัดไปตามอำนาจความตริตรึก
นั่นแหละ คือ กามของคนเรา
อารมณ์อันวิจิตรทั้งหลายในโลกนั้น
หาใช่กามไม่
    ความกำหนัดไปตามอำนาจความตริตรึก
    นั่นแหละ คือ กามของคนเรา
    อารมณ์อันวิจิตร ก็มีอยู่ในโลก
    ตามประสาของมันเท่านั้น
ดังนั้น ผู้มีปัญญา
จึงนำออกเสียซึ่งฉันทะ
ในอารมณ์อันวิจิตรเหล่านั้น ดังนี้
    อริยสัจจากพระโอษฐ์ ( บาลี – ปญฺจก.-ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘-๔๖๖/๓๓๔ )
นิทานสัมภวะแห่งกาม
ภิกษุทั้งหลาย !
นิทานสัมภวะแห่งกาม เป็นอย่างไรเล่า ?
นิทานสัมภวะแห่งกาม
คือ ผัสสะ
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เวมัตตาแห่งกาม เป็นอย่างไรเล่า ?
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เวมัตตตาแห่งกาม คือ
    ความใคร่ในรูปารมณ์ ก็อย่างหนึ่ง ๆ
    ความใคร่ในสัททารมณ์ ก็อย่างหนึ่ง ๆ
    ความใคร่ในคันธารมณ์ ก็อย่างหนึ่ง ๆ
    ความใคร่ในรสารมณ์ ก็อย่างหนึ่ง ๆ
    ความใคร่ในโผฏฐัพพารมณ์ ก็อย่างหนึ่ง ๆ
ภิกษุทั้งหลาย !
นี้เราเรียกว่า เวมัตตาแห่งกาม
ภิกษุทั้งหลาย !
วิบากแห่งกาม เป็นอย่างไรเล่า ?
    ภิกษุทั้งหลาย !
    บุคคลใคร่อยู่ซึ่งอารมณ์ใด เขากระทำอัตตภาพ
    อันเกิดจากกามนั้น ๆ ให้เกิดขึ้น
    เป็นอัตตภาพ มีส่วนแห่งบุญ ก็ดี
    มีส่วนแห่งอบุญ ก็ดี
ภิกษุทั้งหลาย !
นี้เราเรียกว่า วิบากแห่งกาม
ภิกษุทั้งหลาย !
นิโรธแห่งกาม เป็นอย่างไรเล่า ?
    ภิกษุทั้งหลาย !
    นิโรธแห่งกามย่อมมี เพราะนิโรธแห่งผัสสะ
    อริยอัฏฐังคิกมรรคนี้นั่นแล
    เป็นปฏิปทาให้ถึงซึ่งนิโรธแห่งกาม
    ปฏิปทานั้น ได้แก่
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
    สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ
    สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ภิกษุทั้งหลาย !
ในกาลใดแล อริยสาวกย่อม
รู้ชัดซึ่งกาม อย่างนี้
รู้ชัดซึ่งนิทานสัมภวะแห่งกาม อย่างนี้
รู้ชัดซึ่งเวมัตตตาแห่งกาม อย่างนี้
รู้ชัดซึ่งวิบากแห่งกาม อย่างนี้
รู้ชัดซึ่งนิโรธแห่งกาม อย่างนี้
รู้ชัดซึ่งปฏิปทาให้ถึงซึ่งนิโรธแห่งกาม อย่างนี้
ในกาลนั้น อริยสาวกนั้น
ย่อมรู้ชัดซึ่งพรหมจรรย์นี้
อันเป็นเครื่องเจาะแทงกิเลส
ว่าเป็นนิโรธแห่งกาม
    อริยสัจจากพระโอษฐ์ ( บาลี – ปญฺจก.-ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘-๔๖๖/๓๓๔ )
อ่านธรรมะเพิ่มเติม...อริยสัจจากพระโอษฐ์