ให้พึ่งตน พึ่งธรรม
อานนท์ !เราได้กล่าวเตือนไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือ ว่า “ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ย่อมมี;
อานนท์ ! ข้อนั้น จักได้มาแต่ไหนเล่า : สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัย ปรุงแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา, สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย ดังนี้; ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้”.
- อานนท์ !
เปรียบเหมือนเมื่อต้นไม้ใหญ่ มี แก่นเหลืออยู่ ส่วนใดเก่าคร่ำกว่าส่วนอื่น ส่วนนั้นพึง ย่อยยับไปก่อน, ข้อนี้ ฉันใด;
เมื่อภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่มีธรรมเป็นแก่นสารเหลืออยู่, สารีบุตร ปรินิพพานไปแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน. อานนท์ ! ข้อนั้น
- จักได้มาแต่ไหนเล่า : สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัย
ปรุงแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย
ดังนี้; ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้.
เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; จงมีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ."
- อานนท์ ! ภิกษุ มีตนเป็นประทีป มีตนเป็น สรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ, มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
- อานนท์ !
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่,
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเนืองๆ อยู่,
พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่,
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนืองๆ อยู่; มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้. - อานนท์ !
ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่ามีตนเป็น ประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรม เป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่. - อานนท์ !
ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตามจักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่. - อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา, ภิกษุพวกนั้น จักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด.
ตรัสแก่ท่านพระอานนท์ ผู้เศร้าสลดในข่าวการปรินิพพานของท่านพระสารีบุตร ซึ่งจุนทสามเณรนำมาบอกเล่า ที่พระอารามเชตวันใกล้นครสาวัตถี.
- วักกลิ !
-
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม.
-บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๔๖/๒๑๖. - อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
-
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา.
-บาลี มหา. ที. ๑๐/๑๗๘/๑๔๑.
จงมีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย.
-บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๑๗/๗๔๐.
ผู้ใดถือเอาสิ่งนั้นๆ เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้น ไปจากทุกข์ทั้งปวงได้.
และเห็นมรรคประกอบ ด้วยองค์แปดอันประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงความเข้าไป สงบรำงับแห่งทุกข์ : นั่นแหละคือ ที่พึ่งอันเกษม, นั่นคือ ที่พึ่งอันสูงสุด; ผู้ใดถือเอาที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้น ไปจากทุกข์ทั้งปวง ได้แท้.
ธ. ขุ. ๒๕/๔๐/๒๔.
สัตว์เกิดกลับมาเป็นมนุษย์มีน้อย เพราะไม่รู้อริยสัจ
- ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อ นี้ ว่าอย่างไร : ฝุ่นนิดหนึ่งที่เราช้อนขึ้นด้วยปลายเล็บนี้กับ มหาปฐพีนี้ ข้างไหนจะมากกว่ากัน ?
- “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาปฐพีนั่นแหละเป็นดิน ที่มากกว่า. ฝุ่นนิดหนึ่งเท่าที่ทรงช้อนขึ้นด้วยปลายพระนขานี้ เป็นของมีประมาณน้อย.
ฝุ่นนั้นเมื่อนำเข้าไปเทียบกับมหาปฐพี ย่อมไม่ถึงซึ่งการคำนวณได้ เปรียบเทียบได้ ไม่เข้าถึงแม้ซึ่ง กะละภาค (ส่วนเสี้ยว)”.- ภิกษุทั้งหลาย ! อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น: สัตว์ที่เกิดกลับมาสู่หมู่มนุษย์ มีน้อย; สัตว์ที่เกิดกลับมา เป็นอย่างอื่นจากหมู่มนุษย์ มีมากกว่าโดยแท้. ข้อนั้น เพราะเหตุไรเล่า ?
- ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้น เพราะความที่ สัตว์เหล่านั้นไม่เห็นอริยสัจทั้งสี่.
อริยสัจสี่ อย่างไรเล่า ? สี่อย่าง คือ :-
- อริยสัจ คือ ทุกข์
- อริยสัจ คือ เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
- อริยสัจ คือ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
- อริยสัจ คือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอ พึงประกอบโยคกรรม1 อันเป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า
มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๗๘/๑๗๕๗.
( 1. โยคกรรม คือ การกระทำอย่างเป็นระบบ.)
(คำชี้ชวน ! คำของพระพุทธเจ้า เป็นข้อความลึก ชั้นโลกุตร ควรอ่านช้าๆ และหลายๆเที่ยว เพื่อความเข้าใจ )
ฟัง... ก้าวย่างอย่างพุทธะ การแสดงธรรมงดงามในเบื้องต้น งดงามในท่ามกลาง และในที่สุด พร้อมทั้งอรรถะ ( ความหมาย) พร้อมทั้งพยัญชนะ ( คำที่พูด) ที่บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง.
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ...พุทธวจน: สื่อหนังสือธรรมจากพระโอษฐ์